ชาดั้งเดิมนั้นดื่มเป็นยาในจีนมามากกว่า 3000 ปี หากลองอ่านนิทานเกี่ยวกับชาของเราจะพบว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพเกือบทั้งสิ้น ปัจจุบันในไทยเรามีวัฒนธรรมการดื่มชาที่ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งแบบตะวันตก เช่นอาฟเตอร์นูนทรี (Afternoon Tea) ซึ่งส่วนมากจะเป็นชาดำ, แบบตะวันออก เช่นชาจีน ชาญี่ปุ่น ดื่มตามหลักโบราณหรือดัดแปลงตามสมัยบ้าง, แบบชาไทยตามร้านอาหารทั่วไป หรือชาใส่นม ฯลฯ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละท่าน ในเรื่องนี้เราจะมากล่าวถึงประโยชน์ของชาแบบกว้างๆ ให้ฟังกัน
สารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิเด็นซ์ Antioxidant) ในใบชาช่วยในการสร้างและซ่อมแซมผิวขึ้นใหม่ และปกป้องผิวจากการถูกทำลาย เพิ่มความชุ่มชื้นกับผิว อันเนื่องจากว่าชามีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก สารต้านอนุมูลอิสระพบมากในชาขาว ชาเขียว ชาที่ไม่ผ่านกระบวนการมาก
แบคทีเรียเป็นสาเหตุของฟันผุและกลิ่นปาก ชามีคุณสมบัติต่อต้านจุลินทรีย์ช่วยป้องกันฟันผุและกลิ่นปาก ในขณะที่ฟลูออไรด์ (Fluoride) ในชาช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน
เชื่อกันว่าโพลีฟินอลในชาทุกประเภทช่วยลดความเสี่ยงจากโรคสมองเสื่อม เนื่องจากโพลีฟินอลช่วยปกป้องสมองในส่วนของการเรียนรู้และความจำ ชายังมีส่วนช่วยในการลดความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาสดจำพวกชาเขียว ชาขาว อุดมไปด้วยกรดอมิโนเอซิส (Amino Acid) แอลคาร์นิทีน (L-Carnitine) ซึ่งช่วยเพิ่มคลื่นแอลฟ่าเวฟในสมอง ทำให้เกิดการผ่อนคลายบวกกับคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นประสาทของเรา พระนิกายมหายานหลายท่านนิยมดื่มชาก่อนทำสมาธิเพื่อคลายความง่วงและเพิ่มสมาธิให้กับตนเอง
ชาทุกประเภทมีส่วนประกอบของคาเฟอีน ช่วยกระตุ้นระบบประสาท อย่างไรก็ตามโพลีฟินอล (Polyphenols) แทนนิน (Tannins) ในชาซึ่งมีรสฝาดเล็กน้อย ช่วยจำกัดและลดผลของคาเฟอีน ดังนั้นถ้าดื่มชาเพื่อให้กระปรี้กระเปร่าอาจต้องใช้เวลานาน
โพลีฟินอลในชาอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระในชาช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ มีงานวิจัยเรื่องโรคหลอดเลือดหัวใจ พบว่าผู้ดื่มชาเป็นประจำจะลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหัวใจวายมากกว่า 20%
ชาโดยเฉพาะชากึ่งหมักและชาหมัก เช่นชาสุ่ยเซียน ชาแดง ชาดำ ใช้ดื่มหลังอาหารมาเป็นระยะเวลานาน ช่วยระบบย่อย เนื่องจากในชาเหล่านี้มีคุณสมบัติของโปรไบโอติก (Probiotic) ชาจำพวกชาเขียวกระตุ้นการเผาผลาญอาหาร สามารถดื่มก่อนการออกกำลังกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน
สำหรับท่านกังวลเรื่องท้องผูก เราแนะนำให้ชงชาแบบไม่แช่น้ำทิ้งไว้ หรือชงโดยใช้ชาปริมาณไม่มากก่อน
เชื่อกันว่ากระดูกของผู้ดื่มชาจะมีความแข็งแรงมากกว่าคนไม่ดื่มเนื่องจากในชามีสารฟลูออไรด์