2457 เรือสำเภาร่องสู่สยาม
คุณสำเพ็ง แซ่ลิ้ม เดิมทีตระกูลของคุณสำเพ็งค้าใบชาอยู่ที่เมืองเจี๋ยหยาง (揭阳/เก๊กเอี้ย) มณฑลกว่างตง (广东/กวางตุ้ง) ด้วยความที่เติบโตมาในโรงงานทำชา สำเพ็งได้ซึมซับเทคนิคการทำชาตั้งแต่เล็กบ่มเพาะจนกลายเป็นฝีมือติดตัว กิจการค้าใบชาในสมัยก่อนนั้นถือเป็นกิจการที่ดีมาก แต่เพราะต้องหนีภัยสงครามในปี 2457 สำเพ็งจำต้องจากพี่น้องครอบครัวมาเมืองไทยเพื่อหาช่องทางการค้า สำเพ็งเมื่อเข้ามาเมืองไทยแล้วก็พยายามทำงานทุกอย่างเพื่อเก็บออมเงินรวมถึงหาช่องทางจะทำกิจการค้าใบชาไปด้วย พอรวบรวมเงินได้ส่วนหนึ่งสำเพ็งก็เริ่มทำชาขาย สมัยแรกนั้นก็รับใบชามาหาบขาย ตอนเช้าก็นำใบชาใส่ปี๊บสังกะสีใส่คานหาบชาไปขายยังที่ชุมชน ตามถนน
2475 กำเนิดห้างใบชาลิ้มเมี่ยกี่ตราสิงห์ม้า
เหตุนี้เองห้างใบชาลิ้มเมี่ยกี่ตราสิงห์ม้าจึงถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2475 ตั้งอยู่บริเวณหลังโรงพยาบาลกลาง สำเพ็งรับชามาอบขายเองแล้วก็สอนพี่น้องให้ช่วยกันทำ กิจการไปได้ดีมากจนต้องขยายพื้นที่ในการทำชาและโกดังชาให้มากขึ้นจึงไปขอเช่าโกดังซึ่งตั้งอยู่หลังบริษัทรุ่งทรัพย์ทัวร์ในปัจจุบันใช้เป็นพื้นที่ทำชา
2485-2488 การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ในสงครามมหาเอเชียบูรพา
กิจการการค้าของห้างใบชาลิ้มเมี่ยกี่ดำเนินไปได้อย่างดี จนกระทั่งในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาปี พ.ศ. 2485-2488 ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นทำให้เป็นเป้าการโจมตีด้วยการทิ้งระเบิดยังสถานที่สำคัญหลายแห่ง ในระยะเวลาสี่ปีมีการทิ้งระเบิดทั้งกลางคืนและกลางวันมากกว่าสามสิบครั้ง ซึ่งครั้งหนึ่งระเบิดได้ตกลงมายังโกดังทำชาของลิ้มเมี่ยกี่ทำให้อุปกรณ์ทั้งหมดเสียหายรวมถึงสินค้าทั้งหมดด้วย
ผู้บริหารในขณะนั้นได้ตัดสินใจเซ้งตึกแถวบนถนนผดุงด้าว (ซ.เท็กซัส) ร้านที่เซ้งนั้นทำเป็นโรงงานอบชา ที่โรงงานใหม่นี้มีหลุมเตาสี่หลุมเอาไว้อบชา ตึกทั้งสามชั้นเป็นที่เก็บชาทั้งหมด เวลาเช้าพี่ ๆ น้อง ๆ ของคุณสำเพ็งก็จะช่วยกันเอาชาขึ้นจักรยานถีบไปส่งตามร้าน สมัยนั้นมีร้านชาหลายร้านรับชาสิงห์ม้าไปขาย หรือส่งตามร้านอาหารก็มี เนื่องจากกิจการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารร้านจึงได้ตัดสินใจเซ้งห้องข้างโรงงานเอาไว้อีกห้องหนึ่ง (ซึ่งเป็นที่ตั้งร้านในปัจจุบัน) ทำให้ห้างใบชาลิ้มเมี่ยกี่ ตราสิงห์ม้ามีหน้าร้านกว้างสองห้องด้านหลังร้านเป็นที่อบชา ด้านบนเป็นโกดังเก็บชา
2485-2488 ยุคที่สาม ยุคเพื่องฟู
อาติ่งบริหารงานห้างชาลิ้มเมี่ยกี่มามากกว่าสี่สิบปียุคที่สามนี้ถือเป็นยุคเฟื่องฟูเพราะเศรษฐกิจดี ดอกเบี้ยแพง คนมีเงินกันเยอะยอดขายชาก็ย่อมดีขึ้นตามไปด้วย เพราะนอกจากจะจำหน่ายใบชาแล้ว สิงห์ม้าก็จำหน่ายเป็นชุดของขวัญของฝาก จำหน่ายเข้าร้านชาทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดอีกด้วย
เจ๊เช้งและเจ้หมวยผู้บริหารยุคปัจจุบันก็เข้ามาอย่างเต็มตัว สิ่งที่เราพยายามคงรักษาไว้คือคุณภาพของสินค้า เรายังคงใช้วิธีการผลิตแบบดั้งเดิมเพื่อให้ชาคงคุณภาพสูงสุด เรายังคงยึดมั่นที่จะส่งมอบรสชาติชาที่เข้มข้นของเรา
ปัจจุบัน Tea-sipping happiness
ปรัชญาของร้านในปัจจุบัน นั่นคือ “Tea-sipping happiness” ความสุขทุกครั้งที่ดื่มชา ดังนั้นคนทำชาจึงมีหน้าที่ที่สำคัญในการสร้าง "ความสุข" เพื่อ "ส่งมอบ" ความสุขนี้ให้กับผู้รักชาที่ซื้อชาสิงห์ม้าไปดื่ม ทำชาให้ดีที่สุดเพื่อสร้างความสุขให้มากที่สุดนี่คือหน้าที่ของเรา เราส่งมอบสิ่งนี้ผ่านรสชาติอันเข้มข้นของชา กลิ่นการปิ้งไฟที่หอมชัดเจนของเรา